Topic

บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ต้นแบบการนำกลยุทธ์ความยั่งยืนไปพัฒนาธุรกิจเครื่องสำอาง (บทความ)

บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ต้นแบบธุรกิจเครื่องสำอางสู่ความยั่งยืน จากการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางธุรกิจนำมาสู่การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้า การจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความรับผิดชอบต่อลูกค้าและผู้บริโภค

ช่วงปี 2019-2020 มูลค่าที่สูงขึ้นอย่างมากของตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและต่างประเทศ จูงใจให้ผู้ประกอบการสนใจเข้าหาอุตสาหกรรมนี้ของไทยจำนวนมาก มีผู้ประกอบการเครื่องสำอางอยู่ราว 2,402 ราย เป็นบริษัทจำกัด 2,100 ราย ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 297 ราย และบริษัทมหาชนจำกัด 5 ราย

เป็นที่น่าสังเกตว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยค่อนข้างมาก ดูได้จากสัดส่วนเงินลงทุนรวมจำนวน 14,062 ล้านบาท แยกเป็นสัญชาติไทยร้อยละ 63.1 และต่างชาติร้อยละ 36.9 ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกเครื่องสำอางอันดับที่ 17 ของโลก และอันดับ 2 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่น ทำให้ไทยเป็น 1 ในฐานการผลิตเครื่องสำอางที่สำคัญของโลก โดยตลาดธุรกิจความงามและเครื่องสำอางยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและสวนกระแสเศรษฐกิจในช่วงนี้ เนื่องจาก

  1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้คนกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องของความงาม และต้องการจะหยุดเอาไว้ให้มากที่สุด
  2. การเติบโตของ Social Network ที่ทำให้คนต้องการอวดภาพตัวเองในสังคมออนไลน์มากขึ้น
  3. สินค้ามีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก
  4. มีช่องทางการเข้าถึงแบรนด์และเข้าใจในตัวสินค้ามากขึ้นและง่ายขึ้น
  5. มีผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสารธรรมชาติที่เน้นในเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น

 

บมจ. เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ (S & J) เป็นผู้ผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อความงามด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยมากว่า 30 ปี กล่าวได้ว่าเป็นต้นแบบธุรกิจที่ประสบความสําเร็จในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน มีการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางธุรกิจ เพื่อนำมาสู่การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าและมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

S & J มีลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจที่สำคัญอยู่ทั่วโลกทั้งในยุโรปและเอเชีย ให้บริการแบบ One-stop Service ที่ช่วยจัดการทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับแต่งความสินค้าให้รองรับทั้งแบรนด์และธุรกิจค้าปลีก โดยดูแลทุกกระบวนการตั้งแต่การค้นหาผลิตภัณฑ์ การผลิต ไปจนถึงการทำการตลาดและการขนส่ง

คุณธีระศักดิ์ วิกิตเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร กล่าวถึงการวิเคราะห์ปัญหาและประเด็นที่สำคัญทางธุรกิจว่า S & J มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้กับตลาดหลักทัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทำให้บริษัทใช้เครื่องมือ Materiality Assessment มาช่วยให้สามารถมองเห็นปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนอุปสรรคหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท

ประเด็นแรกที่มองเห็นเรื่องแรกคือ หากบริษัทจะยั่งยืนได้ ฐานะทางการเงินต้องมั่นคง เพราะ S & J มีลูกค้าต่างประเทศกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด ดังนั้นความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีผลสำคัญต่อการเงินและความมั่นคงของบริษัทมาก จึงต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยบริษัทได้จัดตั้งหน่วยงานบริหารอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับบริษัท นอกจากนี้ S & J ยังต้องดูด้วยว่ารายได้ของบริษัทกระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้าบางรายหรือพื้นที่บางจุดหรือไม่ ซึ่งกลายมาเป็นกลยุทธ์การกระจายพอร์ตลูกค้า การหาช่องทางการขายใหม่ๆ การเปิดพื้นที่การขายใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาลูกค้ารายใดรายหนึ่งจนเกินไป

ประเด็นที่สองบริษัทต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคว่าอยากได้อะไร บริษัทจึงมีทีมงานคอยวิเคราะห์ลูกค้า และพบว่ากลุ่มลูกค้าสนใจและต้องการนวัตกรรมด้านเครื่องสำอางและความงามอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น S & J จึงมีหน่วยงานพัฒนาสินค้าที่ศึกษาวิจัยแทรนด์ของผู้บริโภค เพื่อให้ทราบว่าตอนนี้ผู้บริโภคชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนานวัตกรรมอย่างสม่ำเสมอและมากพอที่จะทำให้มีสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

สินค้านวัตกรรมของ S & J สามารถเพิ่มยอดขายให้บริษัทได้ 25-30 % ต่อปี อีกทั้งนวัตกรรมที่สร้างขึ้นก็ยังสามารถตอบโจทย์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ น้ำมันปาล์มที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต้องไม่ได้มาจากสวนปาล์มที่รุกล้ำพื้นที่ป่า หากเป็นพื้นที่ป่า S & J ก็จะไม่รับซื้อเด็ดขาด นอกจากนี้ เรื่องความต้องถูกต้องและปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ว่าสารชนิดใดที่ใช้ได้ สารชนิดใดที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง บริษัทก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศอย่างถูกต้องครบถ้วน เพราะหากตรวจพบสารต้องห้ามก็จะขายสินค้าเหล่านั้นไม่ได้เลย ที่สำคัญคือความน่าเชื่อถือของผู้บริโภคต่อแบรนด์สินค้าก็จะเสียหายไปด้วย

ในด้านกระบวนการผลิต S & J คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดใช้พลังงานไฟฟ้า การบำบัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้บริษัทสามารถใช้ลดพลังงานในการผลิตลงได้ 50%

เมื่อถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้องพัฒนาธุรกิจเพื่อสู่ยั่งยืน คุณธีระศักดิ์มองว่า การพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนมีประโยชน์หลากหลายประการกับ S & J ทำให้ลูกค้าและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในบริษัทด้วยนวัตกรรมที่สร้างขึ้น เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ของลูกค้า และยังดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนไปพร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างสมดุลและรับผิดชอบ

Click ดูวิดีโอคลิปเพิ่มเติม